วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

CASE Construction Equipment celebrates

CASE Construction Equipment ฉลองความสำเร็จที่งาน INTERMAT ASEAN 2017
กรุงเทพฯ, 12 มิถุนายน 2560

งานแสดง INTERMAT ASEAN ครั้งที่หนึ่งจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 วันใน เดือนมิถุนายน ณ. ประเทศไทย ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของผู้จัดงานและผู้จัดแสดงสินค้า CASE Construction Equipment ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนระดับ Diamond ได้มีโอกาสให้การสนับสนุนงานแสดงครั้งใหม่นี้ และได้พบกับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่อีกมากมายจากทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเราทุกคนที่ CASE Construction Equipment มีบทบาทสำคัญในการให้การสนับสนุนผู้รับเหมาและบริษัทให้เช่าต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคที่กาลังขยายตัวอย่างรวดเร็วแห่งนี้” Alvin Lim ผู้อานวยการฝ่ายธุรกิจของ CASE ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปากีสถาน และญี่ปุ่น กล่าวว่า

งานแสดงใหม่ครั้งนี้ เราจะทำการสาธิตเครื่องจักรแบบต่าง ๆ และแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีการทางานใหม่ล่าสุดที่ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรมให้ลูกค้าของเราได้รับชมอีกด้วย CASE มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีบทบาทสำคัญในการจัดงานแสดงครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของงาน

ในระหว่างงานแสดง CASE ได้จัดสัมมนาและประชุมให้แก่ตัวแทนจาหน่ายของบริษัทจากทั่วภูมิภาคอาเซียน ผู้แทนจาหน่ายและพนักงานได้เข้าร่วมงานแสดงนี้ และได้พบปะกับลูกค้าจากประเทศไทย พม่า ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา พร้อมสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นสำหรับอนาคต
CASE Construction Equipment ให้การสนับสนุนแก่รัฐบาลและผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเครื่องจักร เพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่แบบครบวงจร และมีวิธีการช่วยบริหารจัดการและขั้นตอนดาเนินการที่ออกแบบเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในสถานที่ปฏิบัติงาน

บริษัทจะทางานร่วมกับตัวแทนจาหน่ายทั่วภูมิภาคเพื่อสร้างพันธมิตรกับลูกค้าของเรา จัดหาเครื่องจักรที่เหมาะสม และให้บริการด้านอื่นๆ เพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ ทางานต่อไปได้ ด้วยเครือข่ายตัวแทนจาหน่ายที่มั่นคงและเชื่อถือได้ มีการขาย การให้บริการ และการดูแลด้านอะไหล่ที่ดีที่สุด ทาให้ CASE มีทรัพยากรระดับโลกที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้

ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนระดับ Diamond เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่งาน INTERMAT ASEAN 2017 ประสบความสำเร็จ และเราหวังว่าจะได้พัฒนางานจัดแสดงนี้ต่อไปในอนาคตคุณ Lim กล่าว
----------------------------------------------------

CASE Construction Equipment celebrates  Success at INTERMAT ASEAN 2017 
Bangkok, 12 June 2017

The first INTERMAT ASEAN exhibition, held over three days in June in Thailand, has been hailed as a major success by organisers and exhibitors. Diamond sponsor CASE Construction Equipment in particular welcomed the opportunity to support this new show and to meet with so many existing and potential new customers from across the South East Asian region.

“South East Asia is enjoying a period of sustained growth and we at CASE Construction Equipment are playing a leading role in supporting contractors and rental companies across this rapidly expanding region,” said Alvin Lim, CASE’s Business Director for South East Asia, Pakistan and Japan.

“This new exhibition delivered the possibility for us to demonstrate a wide range of our machinery, as well as to show customers our latest innovative operating technologies, across many industry sectors. CASE is delighted to have played such a central role in establishing this important new exhibition, as the leading sponsor of the event.”




During the exhibition, CASE delivered a series of seminars and meeting for its dealers from across the ASEAN region. CASE’s distributors and staff attended the show, meeting customers from Thailand, Myanmar, Philippines, Taiwan, South Korea, Indonesia, Malaysia, Singapore, Vietnam and Cambodia and building strong relationships for the future.

CASE Construction Equipment continues to support governments and infrastructure providers across the South East Asia region, with a full line of construction and quarrying machinery and a range of management and operational solutions designed to boost productivity and efficiency on site.

The company will continue to work with its dealers throughout the region going forwards, to build partnerships with our customers, delivering the right machinery and support services to keep that equipment operating. With a stable network of strong dealers, providing the highest level of sales, service and spare parts back-up, CASE has the global resources to meet the needs of those customers.

“As the Diamond sponsor, we are delighted that INTERMAT ASEAN 2017 has been such a great success and we look forward to building upon this inaugural show in the future,” said Mr Lim.

------------------------------------------




JCB จับมือ DKSH บุกตลาดก่อสร้างไทย

                        
 JCB จับมือ DKSH บุกตลาดก่อสร้างไทย

            2 3 ปีที่ผ่านมาทิศทางของการก่อสร้างในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นในสายตาของผู้ประกอบการต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศทางแถบยุโรปโดยมองว่าภูมิภาคแถบนี้เริ่มมีการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับสาธารณูปโภคต่าง ๆ มากขึ้นหลายมิติ การก่อสร้างทุกระบบขยายตัวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเครื่องก่อสร้างที่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงาน ทั้งงานพื้นฐานและงานที่ต้องใช้เทคนิคระดับสูง ปัจจุบันเริ่มความสนใจในประเทศในแถบภูมิภาคนี้  ผู้ประกอบทุกมุมโลก เริ่มมองว่าถ้า ขยายการลงทุนมาอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะมีอนาคต



คุณ ทอม คอร์เนล  Mr.Tom Cornel
            ประเทศไทย ก็เป็นประเทศที่ผู้ประกอบการ มองว่าน่าจะเป็นศูนย์กลาง ในฐานก็ขยายธุรกิจก่อสร้างได้ ดี รวมทั้งทั้งผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรกลในการก่อสร้าง ต่างก็สนใจที่จะขยายตลาดโดยเฉพาะ ปัจจุบันในประเทศไทยเอง ก็มีการก่อสร้าง Mega Project หลายโครงการ ทั้งการก่อสร้างขนาดเล็กและขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย ที่เป็นไปตามนโยบายของทางภาครัฐ ในขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา  พม่าประเทศ ลาว  ประเทศมาเลเซีย และหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ก็เริ่มที่จะมีการพัฒนาทางด้านการก่อสร้าง อยู่ในแผนแม่บทในการพัฒนาประเทศของตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นบริษัทต่างๆไม่ว่าจะเป็นในแถบทวีปยุโรปก็ดี บริษัทต่าง ๆที่อยู่ในแถบเอเชีย ต่างก็มองเห็นว่าการทำตลาดทางด้านการก่อสร้างในแถบภูมิภาคนี้ย่อมมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน



คุณ ทอม คอร์เนล  Mr.Tom Cornel


เมื่อไม่นานมานี้บริษัท JCB ผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างรายใหญ่ จากประเทศอังกฤษ ได้ขยายธุรกิจการก่อสร้างมาตั้งฐานมั่นอยู่ในประเทศไทยและได้ร่วมมือกับบริษัท DKSH โดยตกลงกันเป็นพันธมิตรกันเข้ามาทำตลาดก่อสร้างในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
            คุณทอม คอร์เนล (
Mr.Tom Cornel)  กรรมการผู้จัดการ ภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Managing Director)  ของบริษัท เจซีบี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  สาขาประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือ กับ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเครื่องจักรก่อสร้าง ในประเทศไทย และได้เตรียมความพร้อมเพื่อทำตลาดประเภท เครื่องจักรกลก่อสร้างในประเทศไทยอย่างเต็มศักยภาพ  และได้ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวเดินตลาดก่อสร้าง โดยมีคุณ จารึก มีขันทอง รองประธานอำนวยการ หน่วยธุรกิจเทคโนโลยี ประเทศไทยและ คุณ อุดมศักดิ์ หงส์ทองผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สายธุรกิจเครื่องมือสำหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยธุรกิจเทคโนโลยี  ซึ่งเป็นตัวแทนของ DKSH  ได้ร่วมกันเปิดเผยถึงความร่วมมือ และแนวทางการทำตลาด และบริการเครื่องจักรกลก่อสร้าง โดยเฉพาะ รถขุด รถตัก  และบริการหลังการขายในงานก่อสร้าง




คุณทอม คอร์เนล (Mr.Tom Cornel) จาก JCB ได้กล่าวอย่างน่าสนใจว่า  
            JCB  ได้เข้ามาทำการตลาดในประเทศแถบเอเชีย และมีเป้าหมายอยู่ที่ประเทศไทย JCB เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นเครื่องจักรกลขนาดเล็ก และเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย เราได้เข้ามาร่วมมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท DKSH ให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเครื่องจักรให้กับเรา ซึ่ง DKSH ได้ทำธุรกิจประเภทนี้ในแถบประเทศเอเชียมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะประเทศไทยจะมีความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก  ผลิตภัณฑ์ของ JCB  มีมานำเสนอในตลาดเมืองไทย มีอย่างครบถ้วน มี เครื่องจักรก่อสร้างทุกชนิด ที่สามารถรองรับ กลับการทำการตลาด และอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ผมมีความดีใจ มีความภูมิใจมากที่มาได้ร่วมมือกับบริษัท DKSH  ซึ่งตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาเรามีการขายที่ดีเยี่ยม มียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกลก่อสร้างมากกว่า 150 เครื่อง  แล้ว



กลยุทธ์ทางการตลาดที่จะนำมาใช้ทำตลาดก่อสร้างในประเทศไทยมีอะไรบ้าง
            คุณจารึก คุณ จารึก มีขันทอง   รองประธานอำนวยการหน่วยธุรกิจเทคโนโลยี ประเทศไทย
บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด หรือ
 DKSH ได้กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของเรา ที่ร่วมมือกับทาง JCB นั้นเราจะเน้นเครื่องจักรกลก่อสร้างที่ใช้งานง่าย และเป็นเครื่องจักรอเนกประสงค์ ประการต่อมาก็คือเป็นเรื่องของการบริการลูกค้าที่รวดเร็ว   นอกจากนั้นก็มีการบริการลูกค้าล่วงหน้า
            เครื่องจักรก่อสร้างที่นำเข้ามาจะมีความโดดเด่น ในเรื่องของเราจะติด ระบบเชื่อมโครงข่าย ที่เรียกว่า
Life Link จะมีระบบติดตาม GPS ทุกเครื่อง ซึ่งตัวนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งที่จะเชื่อมโยงระหว่างตัวบริษัทผู้จัดจำหน่ายเอง กับช่างซ่อมบำรุง ทั้งเจ้าของ และผู้ใช้งาน เข้าด้วยกัน
 ด้วยระบบระบบดิจิตอล  ทำผู้จำหน่ายหรือฝ่ายบริการ ทราบได้ทันที หรือทราบล่วงหน้าได้ว่าเครื่องจักรแต่ละตัว ขณะใช้งานมีสถานะเป็นอย่างไร  ทำงานไปแล้วกี่ชั่วโมง ระดับความร้อนขึ้นเท่าไหร่ และอีกนานแค่ไหน จะเวลาเท่าไหร่ที่ทางช่างจะต้องเข้าไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้กับเครื่องจักรนั้น   ซึ่งเป็นการบริการที่ไม่ต้องให้ลูกค้าโทรมาหาเรา แต่เราจะรู้ และก็ไปหา และบริการลูกค้าเอง  นี้คือจุดเด่นของเรา ที่ทางศูนย์จะทำการเช็คให้กับลูกค้าตลอดเวลา และถ้าเกิดอาจเกิดเหตุขัดข้อง  ที่ไม่ปกติ อาจเกิดความเสียหายในตัวเครื่องจักร ระบบก็จะส่งสัญญาณมาถึงทางช่าง หรือมาถึงสำนักงานผู้จัดจำหน่ายได้ทันที โดยจะปรากฏขึ้นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์  หรือหน้าจอของ Smartphone เลย และความเคลื่อนไหวนี้ บริษัทแม่ที่อังกฤษ ก็จะทราบด้วย ระบบนี้เป็นระบบที่จำลองมาจากโรงงานที่อังกฤษเลย ดังนั้นรับรองว่าผู้ใช้งาน ในบริการของเราต้องมั่นใจแน่นอน เพราะมีผู้ช่วยดูแลเครื่องจักรทั้งสองด้านเลย ทั้งผู้ผลิตเอง และผู้แทนจัดจำหน่ายด้วย
            โดยเฉพาะ ถ้าในขณะทำงานเครื่องจักร เกิดมี Error หรือมีปัญหา ระบบก็จะส่งข้อมูลทันที  ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย  รวมทั้งผู้รับเหมา ก็จะทราบทันที และช่างบริการที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็จะเข้าไปบริการทันที นับว่าเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทำงานมีความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะว่ามีผู้ให้บริการคอยตรวจสอบเครื่องจักร ให้ได้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา และอย่างต่อเนื่อง   เท่านั้นยังไม่พอระบบนี้จะตรวจสอบล่วงหน้าได้ด้วยว่าเครื่องจักรกำลังมีปัญหาในอีกกี่ชั่วโมง  ก่อนที่ผู้ใช้งานจะรู้ด้วยซ้ำ 


             นอกจากนั้นเครื่องจักรก่อสร้างของบริษัท ก็ยังมีระบบติดตามตัว เราจะทราบได้ทันทีว่าเครื่องจักรเครื่องนั้น ใช้งานอยู่ในบริเวณพื้นที่ใด  เมื่อลูกค้ามีปัญหา ลูกค้าโทรมาแจ้ง ทีมช่างก็ทราบพิกัดทันทีและสามารถทราบได้ทันทีว่าเราจะไปถึงลูกค้าได้ภายในกี่นาที   นอกจากนั้นทางผู้จัดจำหน่าย เปิดบริการให้กับผู้รับเหมาก่อสร้าง เรามีศูนย์
Call Center เป็นศูนย์กลางรอรับบริการ ลูกค้าที่ใช้เครื่องจักร ที่มีปัญหาสามารถติดต่อ และแจ้งข้อมูลได้ตลอดเวลา
            คุณทอม คอร์เนล (Mr.Tom Cornel)   ได้กล่าวเพิ่มว่า สำหรับระบบ Line Link นั้นจะโชว์ขึ้นที่ทางคอมพิวเตอร์และก็ Smartphone  จะเป็นระบบ Real Time โชว์ขึ้นบนหน้าจอเลยว่ามีเครื่องจักรแต่ละเครื่องทำงานอยู่จุดไหนบ้าง โดยใช้ในจะโชว์หมายเลขเครื่องจักร และชื่อลูกค้าขึ้นมาเลยว่ามีใครบ้างที่กำลังใช้งานอยู่ในพื้นที่ใด  ซึ่งโปรแกรมตัวนี้ทางศูนย์บริการก็จะมีให้บริการลูกค้า และลูกค้าก็สามารถที่จะนำไปปรับและประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้างของตนเองได้   การประยุกต์ใช้ โดยเลือกสร้างเครือข่ายกรอบใช้งานของเขาเองได้
            ผู้รับเหมาเองสามารถนำโปรแกรมตัวนี้มาสร้างขอบเขตการทำงานของเครื่องจักรและขอบเขตการทำงานของตัวเองได้  เช่น ขอบข่ายงานก่อสร้างของผู้รับเหมาอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ถ้ามีการเคลื่อนย้าย เครื่องจักรออกจากเขตจังหวัด  เราก็จะทราบได้ทันที ซึ่งบางครั้งผู้เช่าเครื่องจักรแอบนำเครื่องจักรไปใช้งานนอกพื้นที่ เราก็จะทราบได้ทันที เช่นกัน

มองตลาดเครื่องจักรก่อสร้างในประเทศไทย อย่างไร
            ตลาดก่อสร้างในประเทศไทยนั้น เรามองว่าประเทศไทยตอนนี้มีการขยายฐานก่อสร้างเกิดขึ้นหลายโครงการ  ขณะเดียวกันเราก็มองว่า แนวคิดของผู้รับเหมาก่อสร้าง เปลี่ยนไปจากในอดีตมาก เดิมผู้รับเหมาก่อสร้างจะดูแลซ่อมแซมเครื่องจักรด้วยตัวเอง  มาถึงยุคนี้ การซ่อมเครื่องจักร เริ่มไม่นิยม จะนิยมใช้บริการ จากผู้ให้บริการซ่อมแซมโดยตรง   จากจุดนี้จึงเป็นช่องว่างที่จะทำให้เราเข้าไปบริการที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้รับเหมาก่อสร้าง  หมายความว่าผู้รับเหมาก่อสร้างใช้เครื่องจักรก่อสร้างอย่างเดียว ไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมแซมใด ๆ  ทั้งสิ้น  ทางจัดจำหน่าย หรือทาง DKSH เราจะเป็นผู้ให้บริการเอง หมายความว่า ผู้รับเหมาจะมีความสะดวก สบายมากขึ้น คล่องตัวในการทำงานมากขึ้น  ซึ่งตรงกับคำว่าประเทศไทย 4.0  ที่นำระบบดิจิตอลจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในวงการก่อสร้าง 
            เท่านั้นยังไม่พอระบบนี้ ยังสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเครื่องจักรได้ทุกสถานที่บนมือถือ  นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่เตรียมความพร้อมสำหรับวงการก่อสร้าง  ที่ผมคิดว่าเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดของยุคนี้ก็ว่าได้ ลักษณะของการบริการล่วงหน้านี้ก็จะเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกได้ดีมาก ยกตัวอย่างเช่น ผู้รับเหมาก่อสร้าง เมื่อทำการก่อสร้างเสร็จที่ไซต์งานหนึ่งแล้ว  ก็จะต้องเคลื่อนย้ายเครื่องจักรไปยังสถานที่ก่อสร้างแห่งใหม่  เราจะทราบทันทีจาก
Life Link ว่าได้ย้ายไปยังจุดใด   ทางผู้ให้การบริการจะทราบได้ทันที โดยระบบอัตโนมัติ แล้วเราจะเตรียมความพร้อมการให้บริการ โดยช่างและทีมงานก็เตรียมรองรับไว้เรียบร้อย นับว่าเป็นวิธีการบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง


ทาง  JCB นะปัจจุบันมีเครื่องจักรกลก่อสร้างที่โดดเด่น และกำลังได้รับความนิยม ที่จะมานำเสนอให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย
            สรุปผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไทย ยอดจำหน่ายของเรา รถขุดแบบตักหน้าขุดหลัง มี 55 เปอร์เซ็นต์  รถขุดแบบเล็กที่เรียกว่าMini มี 15 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 16 เปอร์เซ็นต์ เป็นรถตัก ถ้าถามว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรที่โดดเด่น ผมก็อยากตอบว่า JCB  เรามีทุกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่เหมาะกับการทำงานแต่ละท้องถิ่น  แต่ถ้าเป็นตลาดก่อสร้างในประเทศไทยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น  และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราภาคภูมิใจก็ เป็นรถ ก่อสร้าง ที่เรียกกันว่า รถตักหน้า ขุดหลัง  ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า Black Corode Coronar




            ผมมองว่าตลาดก่อสร้างในเมืองไทยกำลังจะเปลี่ยนไป การใช้เครื่องจักรก่อสร้างจะเปลี่ยนจากใช้นอกเมืองมาเป็นการใช้ในเมืองมากขึ้น การก่อสร้างในเมืองจะต้องเป็นรถเครื่องจักรที่ขนาดเล็ก มีความ คล่องตัวสูง ไม่ใหญ่มาก รถประเภทตักหน้า ขุดหลัง จะน่าจะตอบโจทย์การทำงานประเภทนี้ได้ดี
            นอกจากนั้นผมยังมองว่า  การก่อสร้างในเมืองไทยในอนาคต จะต้องนิยมรถก่อสร้างขนาดเล็กที่เป็นอเนกประสงค์ คือเป็นรถประเภทที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย   และเราก็จะสร้างจัดแข็ง ให้ความสำคัญในเรื่องของการให้บริการกับลูกค้า ทั้งหลังการขาย และการให้บริการล่วงหน้า สิ่งที่โดดเด่นของเราอีกอย่างคือคลังอะไหล่ที่พร้อมให้บริการ   ประการต่อมาเรายังเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าก่อสร้างในเมืองไทยว่าผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอนั้น ต้องได้ได้สัมผัสก่อน  จึงจะเกิดความมั่นใจและตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์เครื่องนี้เหมาะสมกับเขาหรือไม่ และทาง JCB ก็พยายามสนองตอบ ตามความต้องการนี้ 
            คุณทอม ยังเล่าต่ออีกว่า เครื่องจักรในการก่อสร้างในตลาดของไทยนอ  นอกจากจะเล็กคล่องตัว ใช้ทำงานในเมืองได้ดี แล้วยังสามารถที่จะต่อพ่วงได้หรือภาษาไทยเราเรียกว่า บุ๊งกี๋ ที่จะทำให้เครื่องนั้นมีความเป็นเอนกประสงค์มากขึ้น   ผู้ประกอบการก่อสร้างในประเทศไทยที่จะซื้อเครื่องจักรก่อสร้าง นั้นจะต้องทำให้เขาคืนทุนเร็ว  เครื่องจักรที่ซื้อมาต้องเป็นอเนกประสงค์ ประยุกต์ใช้งานได้ดี  นี้คือกลยุทธ์หรือแนวทางการตลาดที่ทาง JBC จะเจาะตลาดในประเทศไทย นอกจากนั้น เราก็จะมีการให้บริการที่ดี เร็ว ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเป็นที่ปรึกษาในทุกเรื่องเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ที่เราจำหน่ายให้กับลูกค้า และคอยเป็นเพื่อนคอยให้คำปรึกษา และแก้ปัญหาให้เขา รวมทั้งทำให้เขาเข้าใจว่าเรา เป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้วยกันเพื่อสร้างความไว้วางใจ ไม่ใช่ลักษณะของการเป็นแค่ลูกค้ากับผู้จำหน่าย เหมือนกับการทำตลาดในอดีต

  คุณ จารึก มีขันทอง รองประธานอำนวยการหน่วยธุรกิจเทคโนโลยี ประเทศไทย
บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวเพิ่มเติว่า 

1.เรื่องไทยแลนด์ 4.0 ของทางนโยบายภาครัฐมีผลต่อการทำธุรกิจเครื่องจักรหนักอย่างไรบ้าง
ตอบ      อุตสาหกรรมเครื่องจักรหนักทั้งทางด้านผู้ใช้และผู้ผลิตเองต่างก็ต้องมุ่งพัฒนาไปยังทิศทางในการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น และประเทศไทยเองก็จะปรับตัวพัฒนาไปในทางนี้อย่างแน่นอนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมีคุณภาพ ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น เช่น การพัฒนาระบบ LIVELINK ของ เจซีบี ซึ่งมีติดตั้งภายในเครื่องจักรของ เจซีบี นั้นมีความสามารถในการตรวจวัดชั่วโมง เวลาการทำงาน ตรวจสอบจุดเสียพร้อมแจ้งซ่อมไปยังผู้ผลิต แจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาการทำ Preventive maintenance แจ้งเตือนเมื่อเครื่องจักรถูกนำออกจากพื้นที่ปฎิบัติงาน และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนี้สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆด้วย โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์

2.อีก 5 ปีจากนี้อุตสาหกรรมเครื่องจักรหนักของไทยจะไปในทิศทางไหน ทิศทางเครื่องจักรจะมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง

ตอบ      ด้วยนโยบายของรัฐที่มีการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาชุมชนในแง่ต่างๆ ทั้งโครงการที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กก็มีให้เห็นกันเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลให้ความสนใจ และตั้งใจในการพัฒนาและลงทุนด้านนี้อย่างแท้จริง ทางฝั่งเอกชนเองก็เติบโตมากขึ้นไปในแนวโน้มเดียวกัน ทาง ดีเคเอสเอช มองเห็นในจุดนี้และมั่นใจว่าเทคโนโลยีของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ได้อย่างแน่นอน เราจึงตั้งเป้าว่าจะสามารถมีส่วนแบ่งตลาดอุตสาหกรรมนี้ 10% ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า 

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สตาร์ทอัพ พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 4.0


สตาร์ทอัพ พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 4.0

            หลายประเทศในโลกต่างก็พยามยามพัฒนาตัวเองเพื่อขับเคลื่อนประเทศของตัวเองไปสู่ความเจริญ ความมั่งคั่ง และความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้เป็นความหมายของการที่ประชาชนภายในประเทศมีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสนในการดำรงชีวิต  ประชาชนมีรายได้ดี เพียงพอต่อการนำมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของตนเอง สามารถเป็นที่เพิ่งพิงของบุคคลอื่นได้ โดยจะมีการคิดค้น และพัฒนาเทคนิค องค์ความรู้ และผลิตสิ่งใหม่ ออกมาเพื่อหวังจะให้มาช่วยในการสร้างความสุข ความสำเร็จให้กับมนุษย์ได้ ประเทศไทยก็เช่นเดิมกัน ผู้ที่มีหน้าที่ในการบริหารประเทศ ย่อมจะต้องมองหาโอกาส และแสวงหา ช่องทาง  และเดินตามเส้นทางที่พิจารณาแล้วว่า จะสามารถนำพาพัฒนาประเทศ ไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ ของประชาชนในชาติได้   ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันผู้นำรัฐบาล และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังเดินเครื่องอย่างเต็มแรงที่จะพยายามนำ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ  มาสู่ขึ้นตอนปฏิบัติเพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งในยุคนี้แม่ทัพที่นำขบวนทางด้านเศรษฐกิจ  คือ ดร. สมคิด  จาตุศรีพิทักษ์ ได้กล่าว ได้พูดถึงนโยบายที่ภาครัฐ กำลังเร่งดำเนินการ ขับเคลื่อนประเทศ ไทยให้หลุดพ้นความยากจน  ในงาน สัมนา เรื่อง  สตาร์ทอัพ พลิกโฉม เศรษฐกิจไทย 4.0  อย่างน่าสนใจว่า
            เมื่อหลายปีก่อนผมเคยเรียนท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่าเราน่าจะมีการจัดงาน Start Up พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยขึ้นสักครั้ง เพราะผมมองว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันนี้เรามี Start Up (ธุรกิจ SME)ของประเทศกระจายไปทั่วทุกจังหวัดซึ่งก็น่าจะถึงเวลาที่เราจะทำการรื้อฟื้น ระบบ Startup ขึ้นมาทำให้คนรุ่นใหม่ทั้งประเทศเกิดการตื่นตัวขึ้นมาว่าถึงเวลาที่พวกเราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงมาช่วยกันเป็นกำลังในการสร้างแรงขับเคลื่อนให้ประเทศเดินไปข้างหน้า  เมื่อหลายปีที่ผ่านมาผมพยายามที่จะบอกกับสังคมไทยว่า ประเทศเราไม่ได้ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงตัวเดียว  การจะทำให้ประเทศเจริญไปข้างหน้าได้นั้น เราจะต้องเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์หลายตัว หรือต้องมีผู้ประกอบการจำนวนมาก  เป็นผู้ประกอบการต้องมาจากหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีความคล่องตัวมีความสามารถเข้าใจโลกทันโลกน่าจะเป็นแรงผลักให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้เร็ว  ผมมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในมหาวิทยาลัยในช่วงหนึ่ง  และก็ได้พยายามมที่จะให้มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงในความคิด  ไปแนวทางปฏิบัติ 



            สิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มเปลี่ยนหรือกำหนดไว้ในหลักสูตรเปลี่ยนวิธีการในการเรียนการสอนได้  เพื่อสร้างอนาคตใหม่กับสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า และก็ได้ทำความเข้าใจกับผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาให้ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ยอมรับแนวทางใหม่ๆกับการเปลี่ยนแปลงของโลก  โดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ท่านก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี เพราะว่ากระทรวงท่านเป็นกระทรวงเล็ก แต่บุคคลากรนั้นไม่เล็ก มีบุคลากรในกระทรวงนี้มีค่าระดับมันสมองมหาศาลในกระทรวงวิทยาศาสตร์ มีผู้ที่เป็นดอกเตอร์ 800 กว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกมากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่จะหันมาสนใจกระทรวงวิทยาศาสตร์ในช่วงนั้น ไม่มีข่าวเกี่ยวกับกระทรวงวิทยาศาสตร์เลย  นักข่าวก็ไม่สนใจนักการเมืองก็ไม่ค่อยสนใจจนกระทั่งวันหนึ่งผมตัดสินใจไปเยี่ยมท่านที่กระทรวงฯ วันนั้นนักข่าวตามผมไปมากกระทรวงวิทยาศาสตร์เริ่มตื่นตัวตั้งแต่วันนั้นและวันนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์เริ่มเป็นที่รู้จักของสังคมมากขึ้นคนรุ่นใหม่รู้จักกระทรวงวิทยาศาสตร์มากขึ้น  และในอนาคตผมก็อยากให้เด็กไทยเดินบนเส้นทางวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้นเช่นกัน
            ซึ่งวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและเรื่อง Start Up เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมากทั้งปัจจุบันและในอนาคตโดยเฉพาะประเทศไทยในช่วงนี้หลายคนก็คงได้ยิน และมีผู้พูดถึงกันบ่อยๆในเรื่องของคำว่า Start Up ประเทศไทย 4.0   จริงๆแล้วเป็นคำที่พูดเปรียบเปรยถึงพัฒนาการของการพัฒนาประเทศของไทยจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่งเราคงจำกันได้ว่า ประเทศไทยยุค1.0 ก็หมายความว่าการที่เราเริ่มพัฒนาประเทศจากเกษตรกรรมมีการส่งออกสินค้าประเภทเกษตรกรรมไปยังต่างประเทศ  สมัยนั้นในตำราเรียนเราจะพูดถึงสินค้าที่ส่งออกของเรานั้นจะเป็นพวก ฝ้าย ยางพาราไม้สักดีบุกต่อมาก็มาก็ก้าวมาสู่ประเทศไทย 2.0  เริ่มเข้าสู่การพัฒนาประเทศด้วยอุตสาหกรรมซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพึ่งพาการนำเข้า สุดท้ายก็เป็นการส่งออกเพื่อนำเงินตราเข้าสู่ประเทศ ต่อมาก็เข้าสู่ยุค 3.0 เป็นการพัฒนาสินค้าอุตสาหกรรมวิทยาการอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เน้นการผลิตสินค้าด้านอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก  ซึ่งพบว่าในยุคนี้ประเทศไทยมีการพัฒนา ระบบเศรษฐกิจมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีค่า GDPโตเป็น 10 เปอร์เซนต์เป็นการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่เร็วมาก ในลักษณะก้าวกระโดดในที่สุดก็เข้าสู่ยุควิกฤตทางการเงิน จนมาถึงปัจจุบันเป็นยุคของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทสไทยเริ่มมีการชะลอตัว แนวโน้มเริ่มมีปัญหาในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ  แต่ในช่วงหลังเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น  สัญญาณบวกเริ่มมี  การส่งออกเริ่มฟื้นตัว  และมีแนวโน้มว่าดีกว่าหลายประเทศในกลุ่มเพื่อนบ้านแต่ไม่ใช่ว่าเราเก่งกว่าสาเหตุก็เนื่องจากว่าเรามีสินค้าที่หลากหลาย มีอะไรอย่างที่ไม่ดีแต่ก็มีบางอย่างที่สามารถมาทดแทนกันได้ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกก็กำลังชะลอตัว
            ประเทศจีนก็ลำบากเศรษฐกิจของเขาก็ไม่นิ่งเช่นกัน การที่เราประคองตัวได้ในลักษณะนี้ถือว่าเป็นความสามารถที่ประคองตัวไปได้โดยเฉพาะภาคเอกชนของเจะรามีความสามารถในการส่งออกสูงแต่ก็อย่าประมาทยังวางใจไม่ได้  การลงทุนของเราก็มีสัญญาณบวก ในลักษณะทุนนอกตอบรับ แต่เรื่องนี้ยังไม่มีเงินลงทุนจริง เพียงแต่มีสัญญาณเท่านั้น


            
ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงของสายการบินแอร์เอเชียได้มาเข้าพบผมแล้วก็ไปพบท่านนายกรัฐมนตรีเขามาคุยว่าเขามีความเชื่อมั่นในประเทศไทยว่าจะเป็นเกตเวย์ (Gateway) เป็นจุดเชื่อมของสายการบินในภูมิภาคอาเชียนที่แท้จริง เขาเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะหยุดการเติบโตของอาเซียนได้อีกแล้ว  ถ้าประเทศไทยเป็นเกตเวย์ (Gateway) แน่นอนเราเป็นประตูเดียวเป็นประตูหน้าด้วย  ประเทศในกลุ่มAECจะมีการเชื่อมโยงเรื่องการท่องเที่ยวกันมากขึ้นเขาบอกว่าประเทศไทยน่าจะเป็นฮับเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวที่ดีที่สุด เขาบอกว่าเขาจะมาตั้งฐานที่เป็นสำนักงานศูนย์กลางการบินของแอร์เอเชียที่ประเทศไทยเป็นลักษณะร่วมลงทุนกับเรามากขึ้นเพื่อเตรียมรองรับการเจริญเติบโตในอนาคต เขามุ่งมั่นที่จะประยุกต์ ลงทุนในเรื่องการบินในภูมิภาคสำหรับการบริการการบินราคาต่ำเพราะเขามองว่าคนอาเซียนส่วนใหญ่แล้วเป็นชนชั้นกลางเป็นชนชั้นที่มีรายได้ไม่มากนักแต่อยากท่องเที่ยวเขาจึงต้องการสร้างความสัมพันธ์การท่องเที่ยวจากหลายหลายเมืองในอาเซียนเพื่อป้อนคนเข้ามาสู่เมืองไทยโดยร่วมมือกับสายการบินของไทยนี้คือเจตนาของผู้บริหารระดับสูงของแอร์เอเชียที่เข้ามาเจรจา  ส่วนHuawei ก็วางแผนมาตั้งออฟฟิศที่เมืองไทย แล้วสำนักงานก็เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วซึ่งจะเห็นว่าทุนจากต่างประเทศกำลังทยอยเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น  ถ้าคนไทยไม่ทำร้ายตัวเราเองก่อน อนาคตข้างหน้าของเราน่าจะดีขึ้นอนาคตมันจะดีขึ้นก็เพราะว่าสัญญาณที่ดีภายนอกมีเข้ามา  นอกจากนั้นก็เป็นการลงทุนจากภาครัฐบาล ซึ่งในเรื่องนี้ผมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เข้าไปเร่งรัดงานให้มีการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เร่งเดินหน้าด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง ส่วนโครงการดำเนินการของรถไฟแต่ละสายก็ได้เร่งรัดให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นมูลค่าของ GDPก็น่าจะสูงขึ้น การส่งออกก็ยังน่าสนใจ  การท่องเที่ยวของประเทศก็มีมากเป็นประวัติศาสตร์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าประเทศกำลังจะดีขึ้น  เราไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแต่เราบอกว่าสัญญาณมันดีขึ้นแล้ว  ผมเป็นเด็กที่เกิดในย่านเยาวราชสมัยก่อนติดไฟต้องใช้เตาถ่านยังไม่มีเตาแก๊ส  เวลาที่ไฟกำลังจะเริ่มคลุฝุ่นมันจะเริ่มติดที่ถ่าน  เมื่อไฟติดหน้าที่ของเราต้องค่อย ๆ พัด  แล้วมันจะค่อยค่อยติดแล้วก็ลุกเป็นไฟขึ้นมา นั่นมันก็คล้าย ๆ  กับเรื่องการบริหารธุรกิจ  ซึ่งในหลักการของผมเป็นแบบนี้ไม่ได้ใช้ทฤษฎีมาจากต่างประเทศ  แต่เกิดจากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตการทำอะไรต้องค่อยเป็นค่อยไปถ้าเราพัดแรงไปขี้ไต้ดับแน่นอน  พัดเบาไปไฟก็ไม่ติดแต่เรื่องที่ควรระวังอย่างมาก ถ้าไฟกำลังจะติด จะมีคนรอบข้างมาช่วยเป่าหรือช่วยพัดแรง ๆ  อย่างนี้ไฟดับแน่  แต่ไม่เป็นไรกำลังใจอย่าเสียก็แล้วกัน  สัญญาณเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น  ทุกคนก็อยากให้ประเทศมันดีขึ้นอยู่แล้วคนไทยเราก็ต้องช่วยกันโดยผมจะพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่มาวางพื้นฐานให้มันดีขึ้น  ผมเชื่อว่าในการวางพื้นฐานไว้ดีแล้วไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็น่าจะเดินตามวิธีการนี้  ถ้าเรามาเปรียบเทียบสถิติย้อนหลัง 15 ปีที่ผ่านมาลองมาศึกษาค่าของ GDPผมจำได้ว่าประมาณปี 2545  ถึง 2548   ประมาณ 3 ปี GDPโตประมาณ 6 -7    เปอร์เซ็นต์  ปี 2549   ถึง 2550   GDPขยับลงมาถึง 4 - 5 เปอร์เซ็นต์  หลังจากปี 2550   ขึ้น 2551 เรื่อยมาจนถึง 3 ปีสุดท้ายที่ผ่านมา ค่า GDPมาถึงประมาณ 2 .00  เปอร์เซ็นต์  ถ้าเราดูย้อนหลังค่า GDP 15 ปีย้อนหลังอย่างนี้  ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5  ซึ่งจะมีลักษณะลดลงเรื่อย ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพราะการเมืองผันผวนอย่างเดียวแต่เป็นเพราะว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของเรานั้นน่าจะมีปัญหาข้อสังเกตข้อนี้ก็เป็นข้อเตือนใจและเข้าใจได้
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยใช้วิธีการจำนำ ก็เป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยถูกทาง และก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้อย่างถาวร  เราจึงพยายามที่จะเริ่มต้นแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ถ้าเรามองว่าถ้าการเกษตรมีความลำบากมาก ถ้าจะนำระบบประเทศไทย 4.0 หรือระบบสตาร์ทอัพมาช่วยได้อย่างฉับพลันมันก็คงเป็นคนละเรื่องกัน  ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในประเทศไทยมีทั้งหมด 30 ล้านคน  ถ้าใช้วิธีแก้ไขช่วยเหลือประชากรเหล่านี้โดยการทุ่มงบประมาณลงไปอย่างเดียวคงไม่พอ ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ SME ให้เขาด้วยให้เขาเรียนวิธีการดำเนินการผลิตแบบใหม่ ๆ  ถ้าเราทำได้อย่างต่อเนื่องก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในภาคอุตสาหกรรมเราก็รู้ว่าเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปไม่ได้ ความสามารถในการแข่งขันของเราเริ่มถดถอยการส่งออกก็เริ่มสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศเล็กๆอย่างสิงคโปร์เขามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเองเขาต้องดิ้นรนเขาต้องทำงานหนัก เพราะเขารู้ตัวว่าเป็นประเทศเล็ก ทรัพยากรมีจำกัด ถ้าเขาไม่ทำงานหนัก ไม่แข่งขันอย่างหนักเขาก็จะอยู่ไม่ได้   พวกเขาต้องทำงานหนักกว่าประเทศมาเลเซียทำงานหนักกว่าประเทศไทยเพื่อให้ประเทศของเขายืนอยู่ข้างหน้าในโลกการแข่งขันได้อย่างมีความสง่างาม  ส่วนประเทศไทยเราก็รู้ว่าในอนาคตการแข่งขันเป็นอย่างไรการส่งออกเราก็ต้องปรับตัวเองโดยนำนวัตกรรมมาปรับใช้ แล้วนวัตกรรมมาจากไหน คนไทยส่วนมากยังไม่รู้เลยว่านวัตกรรมมันคืออะไร  ซึ่งการเกิดของนวัตกรรมนั้น ประการแรกทุกภาคส่วนต้องมีส่วนช่วยเหลือกัน ก่อน ประการต่อมาต้องเริ่มต้นจากการทำวิจัย ต้องลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีคิดค้นวิธีการใหม่ๆ   ด้วยการนำวิจัยมาเป็นจุดเริ่มต้น  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต แต่สำหรับในประเทศไทยมีบริษัทรวมกันก็หลายหมื่น ไม่มีแม้บรัทเดียวลงทุนเรื่องการวิจัย   
จะมีกี่บริษัทที่ลงทุนเรื่องการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตของตัวเอง แต่กลับมองว่าการลงทุนเรื่องนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นแล้วมานั่งภาวนาว่าเมื่อไหร่ค่าเงินบาทจะอ่อนลงการส่งออกจะได้ดีขึ้นแนวคิดของผู้ประกอบการไทยยังเป็นแบบนี้จึงไม่มีการพัฒนาใด ๆ เลยนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นได้จะต้องเริ่มที่การมองถึงอนาคตที่เป็นจริง ที่ผ่านการศึกษาวิจัย ผ่านกระบวนการทำงาน ในด้านพัฒนาเทคโนโลยี   การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  จากที่ผ่านมา 10 ปี 20 ปีผู้ประกอบการไทยมีนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยในการผลิตสินค้าของตนเองมากน้อยแค่ไหน และที่จะสามารถนำมาแข่งขันกับชาวโลกเขาได้  ถ้าเรามองย้อนกลับอีกว่าบริษัทใหญ่ๆของไทยมีกี่บริษัทเราสามารถนับได้ทั้งประเทศมีไม่เกิน 20 บริษัท  ถ้าบริษัทใหญ่มีแค่นี้ประเทศเมืองไทยจะเติบโตได้อย่างไรจะจ้างแรงงานได้อย่างไร  ในขณะเดียวกันภาคการเกษตรของเราก็เริ่มอ่อนแอไปเรื่อยๆผู้ผลิตมีอยู่นิดเดียว ประเทศเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องสร้างผู้ประกอบการใหม่  ในอดีตผู้ประกอบการที่เรามีอยู่ก็คือผู้ประกอบการSME
            เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมามีพรรคการเมืองภาคหนึ่ง มีแนวคิดในการสร้าง SME ให้เข้มแข็งให้สามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้  ทำให้เกิดแนวคิดขึ้นมาที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้  ด้วยพื้นฐานของทักษะความรู้ความสามารถของตัวเองมีความคิดเป็นของตัวเองไม่ว่าจะเป็นการผลิต  การจัดจำหน่าย ซึ่งในช่วงนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะมาช่วยพัฒนาธุรกิจเล็กๆเหล่านั้นได้   แต่มาถึงปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนามาก และมีหลายอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ นำเข้ามาช่วยเป็นตัวสนับสนุน และส่งเสริมธุรกิจเหล่านี้ได้  เรากำลังจะลงทุน SMEทั่วประเทศ  โดยมีงบประมาณแน่นอนที่จะลงทุนไปหมื่นกว่าล้านบาท  ผมเคยถามผู้บริหารกระทรวงไอทีซี หรือกระทรวงดิจิทัลว่า  อีก 5 ปีข้างหน้าจะมีงบลงทุนเท่าไหร่ ก็ได้รับคำตอบว่ามีประมาณเป็นแสนล้านบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราต้องมีเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปพร้อม ๆ กัน  จะสร้างเครื่องยนต์ให้เกิดขึ้น หลาย ๆ ตัวไม่ใช่มีแค่ 20 ตัว  แต่จะให้เกิดขึ้นเป็นร้อยเป็นพันและหลายหลายหมื่นตัวแล้วก็วิ่งขับเคลื่อนประเทศไปพร้อม ๆ กันนี้คือวิธีการสร้าง Start Up ประเทศไทย  นี้คือเป้าหมายที่เราจะต้องสร้างจุดนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เราจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนในการที่จะเดินไปข้างหน้าให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุดในจุดเริ่มต้น คือแนวคิด เราต้องเปลี่ยนแนวคิด
คำว่า Start Up ของเมืองไทย อย่าให้มันเป็นแค่คำขวัญ  และของเราไม่เหมือนกับประเทศอื่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้จากต่างประเทศก็เช่นกัน เราก็มาประยุกต์ให้เหมาะกับเราStart Up ของก็เราไม่ใช่แบบประเทศสิงคโปร์  แท้จริงแล้วเราคือ เรามีองค์ประกอบหลายอย่าง เรามีทั้งภาคการเกษตร   อาหารการท่องเที่ยว มีสารพัดอย่างที่ประเทศอื่นเขาไม่มี   กรอบพัฒนาไปสู่ความเข้มแข็งของประเทศเรามีมากมายมหาศาลถ้าเราสามารถสร้าง Start Up ทางด้านการเกษตร การท่องเที่ยวด้านการโรงแรมการบริการ  โลจิสติกส์ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องสร้างขึ้นมา การที่เราจะเข้ามาในธุรกิจได้ผู้ประกอบการต้องมีความคิดสร้างสรรค์  ซึ่งจุดเด่นของเรามีมากกว่าประเทศอื่นก็คือความหลากหลายของธุรกิจเรามี อุตสาหกรรมการเกษตร ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายฐานที่แท้จริงของเรา  และพื้นฐานเหล่านี้เราจะนำเทคโนโลยีเข้าไปเสริมถ้าเราพูดถึงคำว่าการทำการเกษตรเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วคง ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปนั่งปลูกข้าวด้วยแรงงานเหมือนในอดีต  แต่เราจะนำเทคโนโลยีเข้ามาปฏิวัติ  มาพัฒนาการเกษตร มาสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าการเกษตร  การผลิตพันธุ์พืชใหม่ๆการส่งออกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย   สามารถส่งขาย และส่งออกไปทั่วโลก  นี้คือเป้าหมายในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงแนวทางการเกษตรยุคใหม่ ลองนึกภาพดูว่าถ้าคนหนุ่มสาวยุคใหม่ของเรามีแนวความคิดมีสมอง เริ่มเข้าใจ สนใจออกไปทำภาคการเกษตร  มองหาช่องทางการตลาดอาหารใหม่ ๆ  นำเทคโนโลยีมาช่วยแปรรูปสินค้าการเกษตร  ติดต่อค้าขายทางสินค้า ทาง E - Commerce   เริ่มจากธุรกิจเล็กๆ แล้วค่อยๆเติบโต เราต้องมองหาจุดเด่นของเรามาพัฒนา มาสร้างมูลค่า  ถามว่าประเทศอื่นมีเหมือนเราไหม  ประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซียมีไหม  นี้คือความโดดเด่นที่เรามีมากกว่า  
            โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจว่าน่าจะเข้าไปช่วยผู้ประกอบการที่เป็นธุรกิจเล็กๆให้สามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างธุรกิจที่หลากหลายที่จัดจำหน่ายอยู่ในตลาดสวนจตุจักร  ซึ่งเขาทำธุรกิจเล็กๆเริ่มต้นผลิตสินค้าด้วยตัวเองมีแนวคิดมีทักษะมีความสาสารถ รอบรู้ในผลิตภัณฑ์ของตัวเองโดยเฉพาะสินค้าทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ  ควรจะส่งเสริมให้เขามีเงินทุนสามารถพัฒนาสินค้า แล้วส่งออกไปยังต่างประเทศได้  คำว่าStart Up ในความหมายที่เรากำลังพูดถึงคือสิ่งเหล่านี้
            ถ้าเราทำได้อย่างนี้ในอนาคตก็มั่นใจได้ว่าธุรกิจในบ้านเราจะเติบโตได้มาก เพราะเด็กรุ่นใหม่ของเราเก่ง มีความรู้มีทักษะมีแนวความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาปรับปรุงสินค้าของตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขาขาดคือไม่มีใครเข้าไปสนับสนุนให้เติบโต  นี้คือสิ่งที่ประเทศเรามีที่เหนือกว่าประเทศอื่นเราต้องกลับมามอง เพื่อพัฒนาสิ่งที่โดดเด่นของเราให้เติบโตได้มากขึ้น จากธุรกิจSME เล็กๆเหล่านี้พยายามให้เขาเดินได้ ธูรกิจเติบโต จนสามารถแข่งขันได้อย่างถาวร นี้คือความหมาย คำว่า Start Upของไทย

---------------------------------------------------------------------------------------------------------