วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

งบประมาณปี 60

งบประมาณปี 60 เค้กก้อนใหญ่ ก่อสร้างไทย

                เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายให้ทันในปีงบประมาณพุทธศักราช  2560  ที่จะนำไปใช้บริหารประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม 2559 – 30 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นรอบปีของงบประมาณใหม่ ของปี  2560  นั้นทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)  โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย  ประธานสภาตินิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำเรื่องงบประมาณเข้าสู่การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 หลังจากที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมาธิการ  (กมธ.)  มาแล้ว เป็นวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีพุทธศักราช  2560 ในวงเงิน   2,733,000 ล้านบาท นั้น และก่อนหน้านี้ก็มี นายอภิศักดิ์  ตันจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พิจารณาปรับลดวงเงินมาอยู่ที่ 17,930.212.800 บาท โดยให้เหตุผลว่าวงเงินจำนวนดังกล่าวน่าจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่รัฐบาลได้วางหลักไว้อีกทั้งยังให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12   นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ   แผนแม่บทระดับชาติ  และสอดรับกับแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาล  อีกทั้งได้คำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2559 ที่ผ่านมา ร่วมพิจารณา นอกจากนั้นยังได้นำปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องมาประกอบพิจารณาในการกำหนดงบประมาณ  ครั้งนี้ด้วย

                เราจะเห็นว่าในรอบปี  2559 ที่ผ่านมามีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.0 ถึง 3.5 ในลักษณะที่ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งสืบเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.8 ในรอบปี 2558  อีกทั้งมีปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญในการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐในเรื่อง Mega Project ในโครงการก่อสร้างสิ่งจำเป็นพื้นฐานของประเทศ ในระดับต่าง ๆ ที่กลายเป็นตัวกระตุ้น ให้เกิดการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในระดับสูง และการขับเคลื่อนของมาตรฐานเศรษฐกิจของภาครัฐที่ได้ผลในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ. ศ. 2559 การขยายตัวด้านเศรษฐกิจของไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ก็มีปัจจัยร่วมหลายอย่าง เช่น รายได้จากการท่องเที่ยว  ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่  และแนวโน้มการเริ่มปรับตัวดีขึ้นของภาคการผลิต ภาคเกษตรกรรม ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง  อย่างไรก็ตามการขยายด้านเศรษฐกิจโดยภาพรวมยังมีข้อจำกัด และมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ การลดลงของราคาสินค้าในตลาดโลก  ค่าเงินบาทที่ยังคงมีความเสี่ยงมีความผันผวนและแข็งค่า  อาการปรับตัวของดอกเบี้ยตามนโยบายของสหรัฐมีความล่าช้า  รวมทั้งสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมาอย่างต่อเนื่อง   แต่โดยรวมแล้วเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2559 คาดว่าจะอยู่ที่ช่วงร้อยละ 0.1 ถึง 0.6

ในปีงบประมาณ พุทธศักราช  2559  หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณสูงสุด  10 หน่วยงาน


                ในขณะที่วงการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มแนวโน้มสูงมากขึ้น ร้อยละ 3.4 ของผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมดในประเทศ
                ในปีพุทธศักราช  2560 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 3.7 ถึง 4.2  เป็นผลมาจากการปรับตัวดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2559 โดยมีปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุน จากการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจโลกจึงทำให้ภาคการส่งออกของไทยเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง และขยายตัวอีกครั้ง  ขณะเดียวกันการสนับสนุน ให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศก็ดีขึ้น รวมกับแนวโน้มของความคืบหน้าของโครงการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การลงทุนของภาคเอกชนขยายตัว ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น  ส่วนภาคการผลิต การเกษตรในปี   2560 ก็มีแนวโน้มขยายตัว  ซึ่งจะเป็นปัจจัยเร่ง สนับสนุนขยายตัวในเรื่องการใช้จ่ายภาคครัวเรือนของประชาชนมากขึ้น ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ในอนาคต

                ด้วยปัจจัยที่เกื้อหนุนจาก ปี 2559  น่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2560 ให้ขยายตัวมากขึ้น และคาดว่า ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงประมาณ 1.7 ถึง 2.2 ในขณะที่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มปรับตัวลดลงอย่างช้า ๆ   แนวโน้มการฟื้นตัวของการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศได้มากขึ้น และการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ในระยะที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ภาครัฐนำมาเป็นเหตุผลในการกำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีพุทธศักราช 2560

                หลังจากนั้นมาประมาณต้นเดือนกันยายน  2559 ที่ผ่านมาเรื่องงบประมาณ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 ก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของที่ประชุม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ. ศ. 2560 นั้นในที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาอย่างรอบคอบในระหว่างการประชุมพิจารณานั้นก็ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและในระหว่างนั้นได้มีสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็น 2  ท่าน ประกอบด้วยนายสมชาย  แสวงการ  และนายวัลลภ  ตังคณานุรักษ์  ที่ประชุมพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 รวม 2 ชั่วโมง 30 นาที   หลังจากนั้นก็ได้เปิดให้สมาชิกลงประชามติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในร่างงบประมาณ   โดยให้ออกเสียงอย่างเป็นทางการ  ปรากฏว่าการออกเสียงในที่ประชุมเสียงเป็นเอกฉันท์เห็นความชอบในหลักการ ในร่างงบประมาณประจำปีงบประมาณรายจ่ายปี พุทธศักราช 2560

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบ  183 คะแนน   งดออกเสียง 2 เสียง   ไม่ลงคะแนน 1 เสียง  และเป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีเสียงคัดค้านแต่อย่างใด

                เมื่อผลลงคะแนนตามมติเป็นเอกฉันท์ ใน งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติบัญญัติเรียบร้อยแล้ว  หลังจากนี้เป็นต้นไป  นายกรัฐมนตรีก็จะนำร่างงบประมาณรายจ่ายนี้เข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าเพื่อให้ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ต่อไป
                        โดยในเนื้อหาสาระของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพุทธศักราช 2550 ฉบับนี้ได้ตั้งวงเงินงบประมาณไว้จำนวน    2,733,000.000  บาท จะสังเกตได้ว่ามีงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก งบประมาณรายจ่ายปี 2559  ถึง  13, 000 ล้านบาท


                ส่วนงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ. ศ. 2560 นี้มีกระทรวงที่ได้รับงบรายจ่ายสูงสุด ซึ่งเรียงลำดับจาก จากมากไปหาน้อย มีทั้งหมด 5 กระทรวง ด้วยกัน    เช่น กระทรวงศึกษาธิการได้รับเงินจำนวน 493,051,854,00 บาท ต่อมาก็เป็นกระทรวงกลาโหมได้รับเงินจำนวน 210,777,461,400 บาท   กระทรวงสาธารณสุข จำนวนเงิน 126,196,350,000  บาท  กระทรวงมหาดไทยจำนวน 73,624, 831,600 บาท  แล้วสุดท้ายเป็นกระทรวงคมนาคมจำนวน 63,538,688,500 บาท  

               จะเห็นได้ว่าในส่วนของกระทรวงมหาดไทยมี ยังจังหวัดที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดคือจังหวัดนครราชสีมาได้งบประมาณจำนวน 424 ล้านบาท ส่วนจังหวัดที่ได้อันดับรองมาคือ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 396 ล้านบาท   ส่วนจังหวัดที่ได้รับงบประมาณในปีนี้ น้อยที่สุด คือจังหวัดระนอง ได้รับเพียง 162 ล้านบาท


นอกจากนั้น ยังมีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษ  2  แห่ง  ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ด้วยคือ เขตการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษพัทยา ได้รับไป 1,589 ล้านบาท  ส่วนกรุงเทพมหานคร รับไป 19,974  ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นปัจจัยในเรื่องของพื้นที่และจำนวนความหนาแน่นของประชากร มาร่วมพิจารณาด้วย นั้นเอง


วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นวัตกรรมเครื่องมือเพื่อการก่อสร้าง

นวัตกรรมเครื่องมือเพื่อการก่อสร้าง

การแข่งขันกันทางด้านธุรกิจ เป็นเรื่องปกติของโลกธุรกิจ กลยุทธ์การแข่งขันที่เป็นธรรมเรื่องเรื่อง คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างทางเลือกบริโภคให้กับประชาชน  และ บริษัท เดซ อินดัสเตรียล จำกัด  ก็เช่นเดียวกัน ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาการตลาดต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์เวลฟอร์ซ  เปิดเผยว่า ในปี 2559-2560 เวลฟอร์ซ  มีแผนที่จะเปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง  อาทิเช่น ตะแกรงระบายน้ำอเนกประสงค์สำหรับการตกแต่งสวน  มีดโกนใบมีดฉาบ จะเริ่มทำการตลาดอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2559 ด้วยงบลงทุนประมาณ 35 ล้านบาท




            ส่วนกลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดของ  เวลฟอร์ซ ในปี 2560 นั้น คุณไดแอน นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2560 เวลฟอร์ซ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตที่ 5% ซึ่งจุดแข็งของบริษัท ฯ คือการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย  และสามารถตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้าได้อย่างครบถ้วน    บริษัทวางแผนที่จะขยายตัวแทนจำหน่าย ตลอดจน จะใช้ประเทศไทยเพื่อเป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
       
     “เวลฟอร์ซ ยังคำนึงถึงมาตรฐานในการให้บริการหลังการขายด้วยการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน เพื่อ ให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้บริโภคมากที่สุด และมุ่งเน้นเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องมือช่างแบบ Hand-Made ที่ดีที่สุด ในประเทศไต้หวัน และนำส่งสู่มือผู้บริโภคในประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ
            ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เวลฟอร์ซ  มีคุณภาพสูง เครื่องมือต่าง ๆ เหมาะสมกับงานก่อสร้าง เราใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง เหมาะแก่การใช้งานสำหรับงานช่างของการก่อสร้างทุกชนิด  การผลิตก็ใช้นวัตกรรมและการดีไซน์รูปแบบใหม่ ๆ  ให้มีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุดในขณะก่อสร้าง 
            ปัจจุบัน เวลฟอร์ซ ได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปจำหน่วยมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ กลุ่มประเทศอเมริกาเหนือ และอเมริกากลาง (อเมริกา และแคนาดา)กลุ่มประเทศยุโรป  (ฝรั่งเศสอิตาลีสเปนอังกฤษกรีซ  และ รัสเซีย), กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง  (ซาอุดิอารเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาต้า, อิหร่าน)กลุ่มประเทศแอฟริกา (อิยิปต์), กลุ่มประเทศโอเชียเนีย (ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์), กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และไทย), กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกฉียงเหนือ (ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้)  เป็นต้น More than 100 countries across North America (USA, Canada), Central America, Southeast Asia (Malaysia, Singapore, Indonesia, Thailand), Northeast Asia(Japan, Korea), Europe(France, Italy, Spain, UK, Greece, Russia), Mid-east(Saudi Arabia, UAE, Qata, Iran, etc), Africa (Egypt), Oceania(Australia, 
New Zealand)




            ด้านนายบิล หวง กรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์เวลฟอร์ซ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่เลือกเข้ามาในทำการตลาดในประเทศไทยนั้น มองว่าไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  มีทำเลที่ตั้งความเหมาะสม มีหลายประเทศอยู่รายล้อม การเดินทางและการขนส่งทำได้สะดวก รวมถึงเศรษฐกิจไทยทางด้านอุปกรณ์ก่อสร้างยังมีอนาคต และถือเป็นโอกาสในการเข้าทำตลาดที่ดีที่สุด ขณะนี้บริษัทมีตัวแทนจำหน่ายในอาเซียนอยู่ที่มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ไทยเป็นประเทศแรกที่เข้ามาทำการตลาดอย่างเป็นทางการ

            “ทั้งนี้การรุกตลาดไทยในครั้งนี้ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% และสิ่งสำคัญต้องการให้ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างแบรนด์เวลฟอร์ซ  เป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะที่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ เปิดบูธจำหน่ายสินค้าที่งานสถาปนิก การตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี มียอดขายรวม 4 แสนบาท โดยตลาดการก่อสร้างในไทยถือว่ามีการเติบโตดี งานก่อสร้าง ต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่มีความคงทนและใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีความปลอดภัย ผลิตภัณฑ์งานก่อสร้างของเรา น่าจะสามารถตอบสนองงานก่อสร้างได้เป็นอย่างดี  

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Solar D : นวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อทุกคน

Solar D: นวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อทุกคน
Simply Clean Energy

ปริมาณความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน คือ ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้มูลค่าของพลังงานได้เพิ่มสูงขึ้น โดยสามารถสังเกตได้จากปริมาณการใช้พลังงานในครัวเรือน อาคารสำนักงาน และระบบโรงงาน   ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทำให้ภาคผลิตจำเป็นจะต้องผลิตพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งต้องใช้ทั้งทรัพยากรและต้นทุนจำนวนมหาศาล จะดีแค่ไหนหากเราสามารถนำพลังงานธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวเรามาปรับใช้ และสร้างเป็นพลังงานได้อย่างเสรี เช่น การนำพลังงานแสงอาทิตย์             มาเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า นอกจากจะเป็นวิธีช่วยลดค่าใช้จ่ายและสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตแล้ว ยังจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย




Solar D คืออะไร
         “โซลาร์ ดี” หรือ บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชั่น จำกัด คือ ธุรกิจบริการด้านระบบผลิตไฟฟ้า จากเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar PV Rooftop System) ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคาร เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่า พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาด ก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากมาย และในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคาของโซล่าร์เซลล์ได้ลดลงจากในอดีต 60-70%  รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้ประกอบกับการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สูงขึ้นมาก ดังนั้น Solar D จึงนำระบบการผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัย พร้อมกับการออกแบบอย่างลงตัว ที่ง่ายต่อการดูแล มาเปลี่ยนหลังคาบ้าน หรืออาคารสำนักงาน ให้กลายเป็นแหล่งผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
        Solar D สนับสนุนให้คนมีส่วนร่วมในการผลิตพลังงานเพื่อใช้เอง โดยได้เริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 2556     รับออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคาทุกขนาด ให้กับอาคารตั้งแต่บ้านหลักเล็ก ไปจนถึงอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ และด้วยความยึดมั่นในอุดมการณ์ Decentralize จึงไม่ก้าวข้ามไปถึงการทำ Solar Farm หรือระบบผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ เพราะนั่นคือการรวมศูนย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
  
ทำไมต้อง Solar D
เหตุผลหลักที่ Solar D มีความมั่นใจในการที่จะเสนอระบบการผลิตพลังงานสะอาดนี้ เข้าสู่ชีวิตประจำวันของทุกคน มีอยู่ 3 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ
       1.The Best Selection เลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาใช้ สิ่งแรกคือ แผงโซล่าร์ (Solar Panel) โดยแบรนด์ LG ที่มีประสบการณ์การผลิตมากว่า 60 ปี และได้รับรางวัลชนะเลิศ ด้านประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของแผงโซล่าร์ จาก Inter Solar Award 2016 ซึ่งเป็นงานแฟร์ที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปในด้านพลังงาน ที่จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมันอีกด้วย โดยได้เลือกแผงโซล่าร์ LG Neon Black Series และ Mono 2 Series ซึ่งสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้า ได้ในทุกสภาวะอากาศ ไม่ว่าจะอุณหภูมิสูงหรือแสงน้อยจะไม่เป็นปัญหา ถ้ามองในด้านประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อขนาดพื้นที่สูงสุดของ LG อยู่ที่ประมาณ 19% ในขณะที่แผงโซล่าร์ของแบรนด์อื่นๆ จะอยู่ที่ 15-16% เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถลดจำนวนแผงโซล่าร์ไปได้ถึง 20-30%   นั่นหมายถึงน้ำหนักรวมของอุปกรณ์ก็จะลดลงจากเดิมสูงสุดถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความปลอดภัยต่อตัวอาคารมากขึ้น  ทั้งหมดนี้มาพร้อมการรับประกัน 25 ปี ตลอดอายุการใช้งาน ส่วนที่สองคือ เครื่องแปลงพลังงาน (Inverter) จัดว่าเป็นสิ่งสำคัญของระบบอีกสิ่งหนึ่ง เพราะพลังงานไฟฟ้าปริมาณมากที่ผลิตได้จากหลังคาอาคาร จะถูกส่งเข้ามาที่เครื่องแปลงพลังงานเครื่องเดียว หากเครื่องคุณภาพไม่ดีพอ อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ Solar D จึงเลือกใช้แบรนด์ SMA แบรนด์ชั้นนำจากเยอรมัน ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ก็เพื่อประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ตลอดอายุการใช้งาน
       2.Design นอกจากประสิทธิภาพแล้ว Solar D ยังให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของบ้าน ซึ่งผู้ประกอบการในท้องตลาดเมืองไทยมีน้อยที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะเราเล็งเห็นว่าที่อยู่อาศัยย่อมแสดงออกถึงความภูมิใจของผู้ที่เป็นเจ้าของ จึงเน้นการออกแบบให้เป็นแบบ Smart Look  มีระบบซัพพอร์ทแผงโซลาร์ ซึ่งเป็นระบบราง 2 ชั้น เพื่อความแข็งแรงและสามารถซ่อนปุ่มจุดยึดแผงพลังงานได้ การจัดเรียงของแผงที่ปกติเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่หลังคาบ้านเรือนของไทยมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู Solar D จึงออกแบบการติดตั้ง ให้มีเส้นสายและรูปร่างของแผงโซลาร์ที่กลมกลืนไปกับหลังคาอาคารนั้นๆ ทำให้ดูสวยงามและเรียบหรู
       3.Service ทาง Solar D พัฒนาระบบ Customer Service เพื่อคอยดูแลลูกค้าเพราะเล็งเห็นว่าลูกค้ายังต้องการให้เราคอยดูแลระบบ หรือคอยให้คำปรึกษาและขอคำแนะนำ โดยระบบ Customer Service นั้นจะเก็บข้อมูลต่างๆของลูกค้า และคอยติดตามผลจนกว่าเคสนั้นๆ จะแก้ไขแล้วซึ่งทำใหลูกค้าอุ่นใจได้ว่าเราจะคอยดูแลลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน

Application
เพื่อความสะดวกอย่างถึงที่สุด Solar D ได้พัฒนา Application ชื่อว่า Solar D App ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องช่วยในการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า โดยมีหน้าที่หลัก ก็เพื่อตรวจสอบการผลิตไฟฟ้าแบบ real-time สามารถคำนวณเป็นตัวเงิน ใช้ฐานข้อมูลของประเทศไทย และนอกเหนือจากนั้น ยังสามารถสอดส่องการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อพิจารณาปรับการใช้ไฟฟ้าให้ประหยัดขึ้นได้  สามารถแสดงตำแหน่งของเพื่อนบ้านที่ใช้ Solar D เหมือนกันกับเรา  มีการสะสมคะแนนจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลงเพื่อนำไปแลกรางวัล  ทำการเปรียบเทียบปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้กับระดับที่รับประกันการผลิต  รวมถึงสามารถเตือนการหมดอายุรับประกัน และเตือนปัญหาต่างๆ ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็น Application ที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการเรียบร้อยแล้ว

ใครที่สามารถใช้บริการของ Solar D ได้

ตามหลักการแล้ว Solar D สามารถติดตั้งได้ครอบคลุมทั้งประเทศ แต่ที่ได้ผลสูงสุด คือ พื้นที่ที่มีแสงแดดจัด อย่าง ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง ส่วนทางภาคใต้ของไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมือง “ฝน 8 แดด 4” ผลการผลิตอาจลดลง 3-5% ดังนั้น การคืนทุนก็อาจจะช้ากว่าที่คาดไว้เล็กน้อย
     Solar D มองกลุ่มหลักที่เหมาะกับการติดตั้งอยู่ 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มบ้านอยู่อาศัย เป็นชุมชนในเมือง เห็นความสำคัญของการประหยัดพลังาน ลงทุนระยะยาว มีความทันสมัย ชอบเป็นผู้นำเทรนด์ แต่ประเมินไว้ว่าอีกประมาณ 1-2 ปีจะขยายสู่ตลาด mass มากขึ้นเรื่อยๆ
2. กลุ่มอาคารธุรกิจ ได้แก่ โรงงาน, สำนักงาน, ห้างร้าน, โรงพยาบาล, โรงเรียน ที่มีการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากและ สม่ำเสมอ
       ในปัจจุบันที่มีการติดตั้งไปแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดโดยรอบ เช่น ปทุมธานี และจังหวัดอื่นๆ ที่มีการติดตั้งแล้วคือ ชลบุรี ลพบุรี ขอนแก่น เชียงใหม่ สุรินทร์ หาดใหญ่  ฯลฯ

ได้เวลา Simply Clean Energy

นี่คือเทรนด์ของโลกในยุคต่อไป เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปมากขึ้นกว่านี้ อย่างเช่น ถ้าแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน สามารถเก็บพลังงานได้มากขึ้น ขนาดเล็กลง และมีดีไซน์ที่สวยงามมากขึ้น การผลิตไฟฟ้าใช้เองย่อจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้นตามไป ในหลายประเทศมีการติดตั้ง Net Metering เครื่องวัดการใช้เปรียบเทียบกับการผลิตไว้ตามบ้าน สามารถรู้ค่าส่วนต่างได้ตลอดเวลา ประชาชนก็ไม่ต้องรอคอยโควตาขายไฟฟ้าของรัฐบาล ทุกคนมีสิทธิในพลังงานบริสุทธิ์ของโลก ที่เราเองก็สามารถผลิตได้จากสิ่งที่ใกล้ตัว และยังดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นั่นคือที่มาของคำว่า Simply Clean Energy





ทีม Solar D
       Solar D เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่เห็นความสำคัญในด้านพลังงาน นำทีมโดย คุณสัมฤทธิ์ สิทธิ- วรานุวงศ์ ซึ่งจบจากสาขาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเข้าร่วมในธุรกิจโรงงานพลาสติก ที่ประสบปัญหาในช่วงวิกฤตน้ำมันราคาแพง ทำให้ได้ความรู้และความเข้าใจเรื่องปัญหาพลังงานมากเป็นพิเศษ จากนั้นเข้าศึกษาปริญญาโทในด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง จึงนำความสนใจเรื่องการสร้างพลังงานสะอาด ประสบการณ์เรื่องพลังงาน มาผสานกับความต้องการให้เกิดการกระจายตัวของผู้ผลิต  ตั้ง บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชั่น จำกัด มุ่งสร้างประโยชน์สูงสุดและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศในอนาคต ด้วยแนวคิด 3D : Decentralize, Democracy และ Design


สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่ www.solar-d.co.th หรือ 02-026-3099  หรือ www.facebook.com/solardhome