Mega Project
จากนโยบายโครงการเมกะโปรเจคของรัฐบาลที่มอบหมายความรับผิดชอบให้กระทรวงคมนาคมเข้ามาดูแลและโครงการนี้ทางกระทรวงคมนาคมก็ได้อนุมัติโครงการและเงินลงทุนให้ดำเนินการไปให้หน่วยงานต่างๆ
ไปดำเนินการขับเคลื่อนไปแล้วนั้น ประชาชนและสังคม
กำลังขับตามองว่าโครงการได้มีอะไรเคลื่อนไหวไปอย่างไรบ้าง และทางนิตยสารช่าง Contractors’ time ได้ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจคอย่างไรบ้าง
จนได้รับข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงของโครงการต่างๆ ได้กล่าวถึงว่า โครงการต่างๆ
ในความรับผิดชอบนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
โครงการการรถไฟแห่งประเทศไทยมีโครงการอะไรและแต่ละโครงการมีความคืบหน้าไปอย่างไรบ้าง
นายวรวุฒิ มาลา
รองผู้ว่าการกลุ่มอำนวยการ การรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยมี
3 โครงการใหญ่ๆ เป็นการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ระยะที่ 1 ต่อมาก็เป็นรถไฟสายใหม่
เป็นสายสีแดง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ทางกระทรวงคมนาคมกำลังดูแลอยู่
ส่วนเส้นทางคู่มีด้วยกัน 6 เส้นทาง
ส่วนระยะที่ 2 มีเพิ่มขึ้นมาอีก 1 โครงการคือ เป็นสายหัวหินถึงประจวบคีรีขันธ์
เป็นระยะทาง 90 กิโลเมตร ซึ่งทั้ง 7 โครงการได้ลงนามไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
2559 ที่ผ่านมา และ 2 โครงการที่ลงนามแล้วคือ แก่งคอย คลองเก้า และจิระขอบแก่น
ซึ่งได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้ว และอีก 2 โครงการที่ได้รับการอนุมัติแล้วคือ
เส้นทางเป็น ลาดกระบั้ง จีระเส้นทางเส้นนี้ที่ผ่านปากช่อง
ซึ่งเส้นนี้ถ้าเสร็จเราก็ไม่ต้องขึ้นภูเขาตรงปากช่องแล้ว
เพราะเราจะทำการเจาะอุโมงค์เส้นนี้ก็เตรียมการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว
ส่วนอีกเส้นหนึ่งก็๕อ ประจวบคีรีขันธ์ถึงจังหวัดชุมพร ส่วนอีก 4
เส้นผมได้รายงานไปเข้ากระทรวงคมนาคมแล้ว แต่ว่ายังรอและคาดว่าภายในปีนี้
คงจะทันการอนุมัติและเห็นขอบจากคณะรัฐมนตรีทั้งหมด
หลังจากนั้นก็จะดำเนินการหาผู้รับเหมาได้ประมาณต้นปี 2560
ส่วนสายสุท้ายก็จะเป็นสายหัวหิน
ประจวบคีรีขันธ์ มีทั้งหมด 90 กิโลเมตร
ซึ่งเส้นที่พึ่งทำการสำรวจความเหมาะสมก็คิดว่า น่าจะดำเนินการในขั้นต่อไปได้
โดยไม่มีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้น ประมาณ 3 – 4
ปีข้างหน้านี้ ก็จะมีทางรถไฟเส้นคู่ออกจากกรุงเทพมหานครไปทางภาคใต้ถึงชุมพร
ส่วนสายเหนือจะถึงอำเภอปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ สายอีสานจากรุงเทพ
จะยาวถึงขอนแก่นเลย และจากนั้นก็จะต่อเส้นจากอำเภอแก่งคอยไปถึงฉะเชิงเทรา
แล้วก็จะไปเชื่อมเส้นทางคู่ที่แหลมฉบัง
จะทำให้ทางรถไฟทางคู่จากจังหวัดขอนแก่นถึงแหลมฉบัง เป็นรูปร่างภายใน 3 ปี ซึ่งถ้าเสร็จแล้วจะทำให้การขนส่งสินค้าไม่ต้องผ่านมากรุงเทพมหานครอีกต่อไป
เดิมสินค้าที่มาจากภาคอีสานต้องขนส่งมาทางกรุงเทพแล้วค่อยไปที่แหลมฉบัง นอกจากนั้น
เส้นนี้ก็ยังเป็นสายเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว และกัมพูชา มาตามเส้นอีสาน
แล้วเข้าสู่แหลมฉบังได้
โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศลาวซึ่งเขาไม่มีทางออกทะเลเดิม
จะขนส่งสินค้าผ่านไทยโดยทางรถยนต์
เมื่อเส้นรถไฟทางคู่เปิดใช้ก็สามารถรองรับการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านได้มากและสะดวกขึ้น
นี่คือ ความคืบหน้าของการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ส่วนเส้นทางรถไฟสายใหม่
เขียนโครงการเสร็จแล้วเช่นกัน ก็กำลังรอการนำเสนอเพื่อขออนุมัติ คือเส้นทางบ้านไผ่
มุกดาหาร นครพนม อีกเส้นหนึ่งคือ เส้นเด่นชัย ทั้งสองเส้นทางนี้
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ปี 2560
ก็คงจะได้ยื่นเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นขอบได้
ส่วนรถไฟสายเส้นสีแดง
อาจจะต้องรอไปอีก 4 ปี ซึ่งเป็นโครงการของการรถไฟ สายขนส่งมวลชนเป็นรูปแบบ
แบบรถของ MRT แนวการขนส่งมวลชนประมาณระยะทาง
100 กิโลเมตร สายเหนือตามแผนก็จะวางเส้นทางวิ่งไปถึงแค่รังสติก่อน
ส่วนสายใต้ก็ไปถึงตลิ่งชันก่อน และจะมีการขยายเส้นทางรถไฟออกไปเรียกว่า
สายสีแดงเข้ม ซึ่งอีก 4 ปีคงจะเห็นเป็นรูปร่างและโครงการอื่นๆ
ก็จำเสนอขออนุมัติเป็นข่วงๆ ซึ่งส่วนต่อขยายของรถไฟสายต่างๆ ก็จะตามมาเร็วๆ นี้
เราจะเสนอเส้นทางเป็นช่วงถึงธรรมศาสตร์ ศาลายา ถึงบางซื่อ หัวหมาก
เมื่อเป็นอย่างนี้จะทำให้สายสีแดงมีโอกาสทะลุไปถึงฉะเชิงเทรา
ส่วนสายใต้ก็จะทะลุไปถึงนครปฐม และสายเหนือก็อาจไปถึงลพบุรีได้ สายอีสานถึงแก่งคอย
ซึ่งสายต่างๆ
เหล่านี้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้เลยตามที่รัฐมนตรีคมนาคมท่านได้นำเสนอและเห็นขอบในแนวคิดนี้
แผนโครงการในอนาคตของการรถไฟมีอะไรบ้าง
แผนในอนาคตคือรถไฟเส้นทางคู่
อย่างต่อเนื่องเลยจากขอนแก่นไปหนองคาย
ส่วนจากปากน้ำโพก็จะขึ้นไปถึงพิษณุโลกเด่นชัย สายใต้ก็มีแผนไปถึงปะดังเบซาเลย
แต่ช่วงแรกเป็นชุมพร ไปสุราษฎร์ธานีก่อน จากสุราษฎร์ธานีก็ไปอำเภอทุ่งสน
จากทุ่งสนก็ลงไปปะดังเบซา
ส่วนสายอีสานจะลากไปถึงอุบล
และเราก็จะไล่สร้างเส้นที่มีความพร้อมและเส้นที่มีศักยภาพไล่เป็นลำดับ
กินไปก็ประมาณการณ์ว่า มี พ.ศ.2565 และ 2566 เส้นทางรถไฟสายคู่
น่าจะเต็มเส้นทุกเส้นทาง ซึ่งตอนนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว ประมาณ 60% ซึ่งอีกประมาณ 6
ปีจะมองเห็นภาพชัดเจน ช่วงแรกประมาณปี 2563 จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว คือ
1,000 กิโลเมตร แรก ถ้าได้ 25% ก็จะเหมือนกับประกาศที่พัฒนาแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ จะพลิกโฉมให้สังคมได้เห็น คือ ถ้าเราหมุนประเทศได้เร็ว
ส่วนที่ยังเหลือก็จะง่ายขึ้น
ทางด้านการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
แห่งประเทศไทย ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ในการดำเนินการ
เช่นกัน
นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล
รองผู้ว่าการกลยุทธ์และแผนการรถไฟฟ้าขนส่งมลชนแห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนได้รับผิดชอบขนส่งมลชนที่จะรับช่วงต่อจากการรถไฟ
ซึ่งเรามีหน้าที่ขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานคร ทาง รฟม. จะรับผิดชอบ 6 เส้นทาง
จากแผนงานทั้งหมด 10 เส้นทาง เรารับผิดขอบการขนส่งมวลชนระบบรางในกรุงเทพมหานคร
ซึ่งการรับผิดหลักๆ นั้นก็จะแบ่งออกเป็นลักษณะเส้นทางเป็น 3 – 4 ลักษณะ
ซึ่งโครงการของ รฟม. เป็นโครงการที่เป็นเมกะโปรเจค ที่มีงบการลงทุนมาก
ซึ่งแต่ละโครงการต้องใช้งบลงทุนเป็น 10,000 ล้านบาทขึ้นไป
ซึ่งแต่ละโครงการล้วนแต่เป็นเมกะโปรเจคทั้งสิ้น
ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินก็เปิดให้บริการเมื่อปี 2547
ปัจจุบันก็มีการต่อขยายและกำลังก่อสร้างอยู่ประมาณ 3 – 4 โครงการ
ตั้งแต่โครงการสายสีม่วง ซึ่งได้เปิดการเดินรถในวันที่ 6 สิงหาคม 2559 ส่วนสายที่กำลังเร่งก่อสร้างคือสายสีน้ำเงิน
โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นสายจากหัวลำโพงบางแค
เป็นสายรถไฟฟ้าใต้ดินบางส่วนลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งเป็นสายแรกของประเทศที่ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนอีกเส้นก็คือสายบางซื่อ ไปท่าพระ
ซึ่งเป็นเส้นต่อขยายเส้นสีน้ำเงินหัวลำโพง ไปบางแคบริเวณท่าพระ สถานีท่าพระเป็นสถานีใหญ่ที่จะให้บริการรถเส้นสายสีน้ำเงิน
ส่วนสายต่อมาที่กำลังก่อสร้างเช่นกันก็เป็นสายสีเขียว-เหลือง
เส้นที่จะต่อขยายเส้นทาง BTS จากหมอชิตไปตามถนนพหลโยธิน
ไปสะพานใหม่แล้วเลี้ยวเข้าลำลูกกา แล้วไปสิ้นสุดที่คูคต ซึ่งก็จะมีตัวต่อเส้นสีส้มอยู่ที่คูคต
ส่วนอีกเส้นก็เส้นสำโรงต่อไปถึงสมุทรปราการ ซึ่งก็กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกัน
ก็นับว่ามีการก่อสร้างค่อนข้างจะหลายโครงการตอนนี้ก็ไปถึง 80 – 90% แล้ว ในงานของงานโยธา
ซึ่ง รฟม. เองเป็นการก่อสร้าง
สร้างเส้นทางต่อเชื่อมกับ BTS. ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมนั้นมีนโยบายว่า
อยากให้มีการเดินรถอย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนในกรุงเทพได้รับความสะดวกในการเดินทาง
“นโยบายของกระทรวงคมนาคม
ต้องการให้เส้นทางการเดินรถของ รฟม. เชื่อมต่อกับเส้นทางการเดินรถของ BTS. เพื่อความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล”
ซึ่งไม่ต้องการให้การเดินทางต้องล่าช้า
ติดขัด มีปัญหาโดยไม่ต้องลง และต่อรถใหม่หลายเที่ยว ต้องจัดการเดินรถให้ต่อเนื่อง
จะทำให้ความสะดวกในการเดินทาง จะมีมากขึ้น ส่วนอีกโครงการหนึ่งก็คือ การขยายเส้นทางเพื่อรองรับ
Growth Engine รองรับการเจริญเติบโตของเมืองและด้านเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานคร
ปริมณทล และประเทศซี่งก็อยู่ในแผนทีก่ำลังจะนำเสนอโครงการเพื่อขออนุมัติ
ซึ่ง 3
โครงการที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นโครงการที่ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว คือ
โครงการสายสีส้ม ทางตะวันออก สายสีชมพู แคราย มีนบุรี และสายสีเหลือง ลาดพร้าว
สำโรง และก็จะดำเนินการขายเอกสารเพื่อหาผู้จะเข้ามารับจ้าง
รับช่วงประมูลโครงการไปดำเนินการ
ส่วนลักษณะโครงการนั้นจะมีรายละเอียดของโครงการอยากนำเสนอว่า
สายสีส้มจะเป็นลักษณะการดำเนินการคล้ายๆ สีน้ำเงิน หรือสายสีม่วง
ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนการโยธาเอง แต่จะคัดเลือกผู้รับข้าง
ผู้รับเหมาก่อสร้างทางวิ่ง ก่อสร้างสถานีก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง
ส่วนการจัดการเดินรถก็จะให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานในการเดินรถ
ส่วนสายสีชมพูกับสายสีเหลือง
เราได้เปิดประกาศประชาสัมพันธ์ให้ทราบแล้ว
ซึ่งเป็นลักษณะการลงทุนเปิดให้เอกชนมาร่วมลงทุนกับ รฟม.
ซึ่งเป็นโครงการแรกที่เปิดให้เอกชนมาร่วมลงทุนเป็นลักษณะคล้ายๆ กับรถไฟฟ้า
เส้นทางการเดินรถก็จะให้รับสัมปทานไป 30 ปี เป็นโครงการค่อนข้างจะท้าทายพอสมควร
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขายเอกสาร
โครงการของ รฟม. ที่คาดว่าจะอนุมัติภายในปี
2559
ปัจจุบันกำลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
คือ สายสีม่วง ซึ่งเป็นส่วนต่อขยาย
ปัจจุบันเป็นส่วนต่อขยายจากคลองบางไผ่ไปถึงเตาปูน ซึ่งเตาปูนก็จะเป็นศูนย์ สถานีที่สำคัญขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นจุดตัดหรือเชื่อมกันระหว่างสายสีม่วงกับสายสีน้ำเงิน
และเตาปูนยังสามารถต่อขยายไปทางส่วนเหนือของกรุงเทพมหานคร ลงมาทางด้านใต้
ซึ่งจะผ่านใจกลางเมืองตรงพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์
จึงจำเป็นต้องนำรถไฟฟ้าเข้ามา ซึ่งเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย นอกจากนั้น
เส้นนี้ยังต่อขยายเส้นทางไปทางฝั่งธนบุรีได้อีก
ทั้งหมดนี้ก็อยู่ในขั้นตอนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติ
ปี พ.ศ. 2560 รฟม. มีโครงการอะไร
ส่วนโครงการที่จะดำเนินการขออนุมัติในปี
2560 ซึ่งได้เข้าที่ประชุมแผนงานของ รฟม. ก็มีเส้นทางสายสีเขียว ทั้ง 2
ส่วนที่จะต่อขยายเพิ่มเติมจากโครงการที่กำลังก่อสร้างในปัจจุบัน
ยกตัวอย่างสายเหนือที่กำลังก่อสร้างถึงคูคต ก็ต้องการต่อขยายไปถึงลำลูกกา
ถึงคลองห้าคลองหก
แล้วก็สายสีส้มซึ่งปัจจุบันได้ประกาศคัดเลือกผู้รับเหมาไปแล้ว
ซึ่งเป็นเส้นทางตะวันออก เราก็จะขออนุมัติดำเนินการขยายออกมาทางตะวันตก
ส่วนตะวันตกก็คือศูนย์วัฒนธรรมไปถึงเด่นชัยเพื่อเชื่อมกับรถไฟสายสีแดงของทางการรถไฟ
และโครงการสุดท้ายในปี 2560
ก็เป็นสายสีน้ำเงินที่จะต่อจากบางแคสาย 2 ออกไปถึงพุทธมณฑลสาย 4
ซึ่งก็จะไปบริการประชาชนของกรุงเทพมหานครย่านฝั่งตะวันตก
การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีโครงการเมกะ
โปรเจคอะไร และดำเนินการไปถึงไหน
นาย สมชาย เหมทอง
รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ได้กล่าวถึงโครงการของการท่าเรือได้อย่างน่าสนใจว่า
การท่าเรือแห่งประเทศไทย โครงการที่เด่นก็คือ
ท่าเรือแหลมฉบัง โครงการแรกของเราที่อยากนำเสนอคือ
โครงการพัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง
โครงการนี้ได้คัดเลือกผู้มารับเหมา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ผลงานคืบหน้า
ปัจจุบันประมาณ 2%
เนื่องจากผู้รับเหมาเสนอแผนงานมาช้า แล้วเราก็ขอปรับแผนแล้วก็ปรับแผนส่งคืนแล้ว
ซึ่งโครงการนี้มูลค่า 2,944,000,000 ล้านบาท คือ เกือบ 3 พันล้านบาท
ส่วนรูปแบบการบริหารจัดการทางการท่าเรือจะเป็นผู้บริหารจัดการเอง
ซึ่งจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี พ.ศ.2561 โครงการต่อมาคือ
โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง
โครงการนี้
ก็มีจุดประสงค์เพื่อลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ จริงแล้ว
ประเทศเราขนส่งทางถนนเป็นหลัก รองลงมาคือ รถไฟ และการสร้างท่าเทียบเรือ
ก็เป็นทางเลือกให้กับการขนส่งอีกทางหนึ่ง ก็คือ ทางน้ำ
เราก็พยายามหาพื้นที่สี่เหลี่ยม สามาเหลี่ยมอย่างท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสงขลา
ท่าเรือสุราษฎร์ ท่าเรือประจวบ ท่าเรือกรุงเทพ
ซึ่งในอนาคตอาจจะขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ในปัจจุบันที่โครงการก่อสร้างก็ดำเนินไปแล้ว
36% รับรองว่าปี พ.ศ.
2561 เปิดให้บริการแน่นอน
เราก็หวังว่าต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ของผู้นำเข้าส่งออกก็คงจะลดลง
“และโครงการที่สำคัญอีกโครงการหนึ่งก็คือ
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 คือว่า เป็นโครงการอภิมหาโปรเจค คือ
มีมูลค่า 8 หมื่น 3 พันล้านบาท”
ส่วนรูปแบบการให้บริการ
คือการท่าเรือร่วมมือกับเอกชน และกำลังดำเนินการตามขั้นตอน คาดว่าในปี 2559
น่าจะเรียบร้อยในขั้นวางแผนงาน ถ้าเป็นไปตามแผนปลายปี 2560 จะก่อสร้างได้ และปี
2563 ก็จะสามารถเปิดให้บริการได้
นอกจากนั้นก็มีพื้นที่ที่ท่าเรือกรุงเทพมูลค่าการก่อสร้าง
5 พันล้านบาท และโครงการนี้ได้เสนอโครงการให้คณะกรรมการพิจารณาแล้ว
และได้ส่งให้คณะกรรมการทฤษฎีกาตีความ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตีความและคาดว่าเร็วๆ
นี้คงจะมีคำตอบให้กับผู้สนใจที่จะลงทุน
ผู้ประกอบธุรกิจจะได้ประโยชน์อะไรจากโครงการเมกะโปรเจค
นายวรวุฒิ มาลา
ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางการรถไฟได้แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ด้านการโดยสาร
กับด้านบริการขนส่งสินค้า ซึ่งปัจจุบันการรถไฟมีรายได้การบริการขนส่งสินค้าน้อยกว่าด้านการโดยสารบริการประชาชน
ประมาณ 1 ต่อ 2 ซึ่งในอนาคต เราจะเน้นบริการผู้โดยสารสายระยะปานกลางระยะใกล้ๆ
ประมาณ 400 ถึง 500 กิโลเมตร คือ โครงการพิษณุโลก
จะเน้นจุดนี้เพราะมีความคล่องตัวกว่า และมีตลาดที่เติบโตได้อีกมาก
ส่วนในด้านการขนส่งสินค้า
ปัจจุบันรถไฟแชร์ได้แค่ 2% เท่านั้น
แต่ในอนาคตน่าจะบริการเพิ่มขึ้นได้ โยมีหวังที่รถไฟรางคู่จะเกิดขึ้นอีก 3 – 4 ปี
ข้างหน้า น่าจะเพิ่มศักยภาพอีกพอสมควร
ซึ่งสายอีสานก็จะมีทั้งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า ซึ่งต่อไปส่งสินค้าคงต้องไปถึง
สปป.ลาวด้วย ก็จะใช้เส้นทางจากขอนแก่นว่งมาแก่งคอย ตัดมาถึงฉะเชิงเทรา
แล้วเข้ามาถึงแหลมฉบัง และมาบตพุตได้ สินค้าทางอีสานจะมากที่สุดในประเทศ
ก็สามารถขนส่งสินค้ามาถึงแหลมฉบังได้เร็วขึ้น
โดยไม่ต้องเข้ามาทางกรุงเทพให้เสียเวลาเหมือนในปัจจุบัน
นอกจากนั้น เราก็มีสินค้าฝั่งลาว
และทางกัมพูชาด้วย
ถึงตอนนี้ทางการรถไฟได้ปรับปรุงเส้นทางรถไฟสายอรัญประเทศเสร็จแล้ว ออกทางสะพาน
รอเชื่อมแล้ว รอแต่สะพานทางฝั่งกัมพูชามาเชื่อม
และคาดว่าภายในปีนี้ก็คงจะเชื่อมต่อกันได้
เมื่อเราเชื่อมเส้นทางกับทางปอยเป็ต
ของกัมพูชาสำเร็จ คาดว่า เขาคงจะมาใช้เส้นทางขนส่งสินค้ามาทางแหลมฉลบังแน่นอน
เพราะสะดวกและต้นทุนก็ต่ำกว่าที่เขาจะไปใช้เส้นทางอื่นขนส่งสินค้าและการติดต่อ
เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการทางด้านนำเข้าและส่งออกสินค้าคงจะได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่า
ส่วนการท่าเรือจะเป็นการเชื่อมต่อจากการรถไฟประชาชนและประเทศจะได้ประโยชน์
3 ประเด็นคือ
ประการแรก
เม็ดเงินที่เราใส่ไปในระบบเศรษฐกิจเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจปี 29, ปี 60 และ ปี 61
ประการที่สอง
เมื่อประเทศตั้งตนเองว่าเป็น HUB
แห่งภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เมื่อต้นทุนการขนส่งลดลงก็เป็น ฮับ (HUB)
ได้ ส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ลดลงแน่นอน
ประการที่สาม คือ
ผู้นำเข้าและส่งออกมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกหลายๆ ช่องทาง”
นอกจากนั้นก็ยังมีระบบการขนส่งทางน้ำให้เลือกอีก
และถ้าโครงการเมกะโปรเจคสำเร็จเป็นรูปธรรมขึ้นมา และเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ประเทศไทย ประชาชนและผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกสินค้าก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงในด้ายบวก
ซึ่งนี่ยังไม่รวมประเทศเพื่อนบ้านที่จะได้รับประโยชน์กับผลสำเร็จของโครงการนี้
เพราะถ้าเราทำสำเร็จเรียบร้อยและเป็นศูนย์กลางของ
ฮับ (HUB) เมื่อไหร่
มันก็เหมือนกับเราเป็นแม่เหล็กที่จะดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาเอง เพราะว่า การพัฒนาประเทศเพื่อนบ้านของเรายังช้ากว่าเรานั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------